วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จับตาภัยธรรมชาติในลาว:บทเรียนธรรมชาติที่แลกกับฉายา “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน”

จับตาภัยธรรมชาติในลาว:บทเรียนธรรมชาติที่แลกกับฉายา “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน”:
โดย ธีรภัทร  เจริญสุข
ชื่อบทความเดิม “จับตาภัยธรรมชาติในลาว” ในบางส่วนรักษาการสะกดแบบอักษรลาว
ภัยธรรมชาตินับเป็นภัยคุกคามใหม่ที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญ เนื่องจากภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ประเทศลาวก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง จากรายงานความเสี่ยงการเกิดภัยธรรมชาติของธนาคารโลก (Natural disaster hotspot and vulnerable country: Global risk analysis, 2005) (1) ระบุว่าประเทศลาวเป็นประเทศที่เสี่ยงต่ออุทกภัยระดับสูง เนื่องจากอยู่ในเขตมรสุม และมีพายุหมุนเขตร้อนซึ่งก่อตัวจากทะเลจีนใต้หรือมหาสมุทรแปซิฟิกพัดผ่านบ่อยครั้ง อีกทั้งภูมิประเทศของลาวเป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขา ทำให้เมื่อพายุพัดกระทบกับสันเขา เกิดฝนตกหนักและอุทกภัยน้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม ในช่วงฤดูฝนของทุกปี
น้ำท่วมในลาวปีนี้ 2 ครั้งแล้ว -ภาพจาก talkvietnam.com
น้ำท่วมในลาวปีนี้ 2 ครั้งแล้ว -ภาพจาก talkvietnam.com
ประเทศลาวได้จัดตั้งองค์กรที่ดูแลจัดการภัยพิบัติ คือ ห้องกานคุ้มคองไพพิบัดแห่งซาด: National Disaster Management Office (NDMO) สังกัดกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ตั้งแต่ปี 1997 (2) โดยได้รับการสนับสนุนจาก องค์การส่งเสริมแผนการพัฒนาของสหประชาชาติ (UNDP) อย่างไรก็ตาม ระบบรัฐการที่รวมศูนย์และล่าช้า ทำให้ภัยพิบัติในลาวไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที โดย NDMO เองก็มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเพียง 11 คน ที่คอยดูแลภัยพิบัติทั้งประเทศ
จากสถิติย้อนหลังการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติของลาว ค.ศ. 1980 – 2010 พบว่า มีน้ำท่วมใหญ่ 13 ครั้ง พายุใหญ่ 5 ครั้ง โรคระบาด 8 ครั้ง และภัยแล้ง 4 ครั้ง ประชาชนเสียชีวิต 945 คน ได้รับความเดือดร้อนประมาณ 5 ล้านคน ทรัพย์สินเสียหาย 429 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3) สาเหตุที่มีอัตราเสียชีวิตต่ำ เนื่องจากประเทศลาวเป็นประเทศที่มีอัตราประชากรต่อพื้นที่น้อย เมื่อเกิดภัยพิบัติในเขตหนึ่งๆ จึงกระทบต่อผู้คนไม่มาก
อย่างไรก็ตาม จากการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่องด้วยการลงทุนของต่างชาติ เช่น จีน เวียตนาม ญี่ปุ่น และไทย ตั้งแต่ปี 2007 ทำให้บริเวณป่าเขา หุบเขา และลุ่มแม่น้ำ มีชุมชนคนอยู่อาศัย รวมถึงบริษัทต่างๆ ไปตั้งค่ายพักเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรมากขึ้น หากเกิดภัยพิบัติก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตได้มากขึ้น และจะชะลอการพัฒนาประเทศให้ล่าช้าลง
เขื่อนไซยะบุรี แบตเตอรี่แห่งอาเซียน - ภาพจาก ประชาธรรม
เขื่อนไซยะบุรี แบตเตอรี่แห่งอาเซียน – ภาพจาก ประชาธรรม
ปี 2011 ได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ทั่วทั้งอินโดจีน ซึ่งประเทศลาวก็ได้รับผลกระทบรุนแรง จากพายุไหหม่า และพายุนกเตน ส่งผลให้เกิดความเสียหายกว่า 139,000 ล้านกีบ (ประมาณ 174 ล้านดอลลาร์) ทำให้พื้นที่กสิกรรมเสียหาย 64,400 เฮกตาร์ ถนน 322 เส้นทางถูกกระแสน้ำพัดทำลาย ชุมชนได้รับความเสียหาย 1,790 หมู่บ้าน 96 เมืองใน 12 แขวง จาก 17 แขวงทั่วประเทศ มีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่าสี่แสนคน และเสียชีวิต 30 คน (4)
รัฐบาลลาวพยายามแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วยการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ ซึ่งสภาพภูมิประเทศของลาวเอื้อให้การสร้างเขื่อนสามารถเก็บน้ำได้ดี อีกทั้งยังสามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อส่งขายประเทศเพื่อนบ้านได้ แต่การสร้างเขื่อนหลายกรณี เป็นปัญหาระหว่างประเทศ เช่น การสร้างเขื่อนไซยะบุลีกั้นแม่น้ำโขง มีหน่วยงาน NGO ไทยฟ้องร้องบริษัท ช. การช่าง ที่เป็นผู้ทำสัญญาก่อสร้างเขื่อน จนทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก หรือการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อนุญาตให้จีนและเวียตนามมาลงทุนด้านสาธารณูปโภค ก็ประสบปัญหาต้องเปลี่ยนบริษัทผู้รับสัมปทานอยู่บ่อยครั้ง
เนื่องจากรัฐบาลลาวยังขาดศักยภาพในการช่วยเหลือฟื้นฟูเขตที่ประสบภัยธรรมชาติ จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากประชาคมนานาชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะด้านการช่วยเหลือเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเสบียงอาหารและยารักษาโรค เนื่องจากเมื่ออุทกภัยและดินถล่มสิ้นสุดลง ปัญหาที่ตามมาคือโรคระบาด ดังเช่นโรคระบาดที่เกิดในปี 1994 หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 1993 ได้คร่าชีวิตชาวลาวไปมากกว่า 500 คน
อีกประเด็นหนึ่งที่น่ากังวล คือปัญหามลพิษที่เกิดจากการลงทุนของต่างประเทศในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมหนักอื่นๆ เช่น หลังอุทกภัยในปี 2011 ที่ผ่านมา มีสารพิษรั่วไหลออกมาจากเหมืองแร่ทองคำที่แขวงเซกอง และแขวงอัตตะปือ ลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะและแม่น้ำเซกอง ซึ่งรัฐบาลลาวปฏิเสธจะให้ข่าวเพิ่มเติม ทำให้ประชาชนชาวลาวเป็นกังวลกับปัญหาเดียวกันที่อาจจะเกิดขึ้นในเหมืองแร่ทองแดง เหล็ก สังกะสี และโปแตซในแขวงเวียงจัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้เป็นคดีความขึ้นสู่ศาลประชาชนกว่า 10,000 คดีในปี 2011 (5)
นอกจากนี้ ยังมีแผ่นดินไหวขนาดเบาเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนแผ่นดินขนาดเล็ก บริเวณรอยเลื่อนท่าแขก แขวงสะหวันนะเขด และรอยเลื่อนหลวงพระบาง เป็นระยะ แม้ว่าจะไม่ใช่แผ่นดินไหวร้ายแรง แต่รัฐบาลลาวก็ยังต้องจับตาดูและเสริมความแข็งแรงให้สิ่งก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขื่อนต่างๆ ให้ทนทานยิ่งขึ้น เนื่องจากปริมาณมวลน้ำที่เก็บกักหลังเขื่อน อาจก่อแรงเครียดให้กับแผ่นดินบริเวณรอยเลื่อนได้
ท่านทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรีลาว จึงได้เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนของประเทศร่วมมือป้องกันภัยธรรมชาติให้เป็นรูปธรรม โดยการรักษาสภาพแวดล้อม รักษาแม่น้ำและป่าต้นน้ำ และไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและการลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรธรรมชาติของลาว ทั้งเหมืองแร่ ป่าไม้ และการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าตามแนวคิด แบตเตอรี่แห่งอาเซียน ย่อมต้องมาพร้อมกับการทำลายสภาพธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนากับสิ่งแวดล้อมของประเทศลาว เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติจึงเป็นเรื่องยากและควรติดตาม เนื่องจากจะส่งผลกระทบด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโดจีนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น