วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชวนส่อง AEC: จุดแข็ง-จุดอ่อนเบื้องต้นของประเทศต่างๆในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ชวนส่อง AEC: จุดแข็ง-จุดอ่อนเบื้องต้นของประเทศต่างๆในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน:

Get Ready for AEC – ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน…จะช้าจะเร็วก็มาอยู่ดี :)

ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ แต่เมื่อปฏิเสธไม่ได้  เพราะอย่างไร เราต้องเข้าสู่วงจรประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในวันที่ 1 มกราคม 2558 อยู่ดี!

เปรียบเทียบคร่าวๆ ข้อแตกต่างของ AEC กับ EU

การรวมกันของ AEC ทำให้ตลาดอาเซียนน่าสนใจขึ้น เพราะขนาดของตลาดที่ใหญ่กว่า EU (ในแง่จำนวนประชากร) เป็นการเพิ่มโอกาสให้กับประเทศสมาชิก
อย่างไรก็ดีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AEC จะยังไม่เกิดขึ้นทันทีและมีหลากส่วนที่อาจจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เช่น การสร้างเครือข่าย SME ตลอดจนการให้ความร่วมมือด้านการศึกษาและพัฒนาวิจัยต่างๆ

สิ่งที่ AEC ต่างกับ EU อย่างชัดเจนคือ

  • เรื่องการค้า: อัตราภาษีภายนอก (กับประเทศนอกกลุ่ม)
EU ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกบังคับใช้ภาษีเดียวกันต่อประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ส่วนของ AEC ถ้าพูดถึงประเทศนอกกลุ่มแล้ว ใช้ระบบภาษีแบบต่างคนต่างใช้ค่ะ
  • อัตราหุ้นส่วนร่วมกันในเรื่องการค้าและบริการ
EU ให้ 100% ส่วน AEC อนุญาต ที่สัดส่วน 70%
  • การเคลื่อนย้ายแรงงาน (@VConnex เคยมีกล่าวถึงไปแล้วบ้างในบทความนี้ค่ะ)
EU ให้เคลื่อนย้าย”แรงงาน”โดยเสรี ส่วน AEC อนุญาตให้แค่”แรงงานฝีมือ”ที่มีสิทธิเคลื่อนย้ายเสรี
  • สกุลเงิน
EU ใช้สกุลเงินเดียว (เกือบทั้งหมด) ส่วน AEC ใช้สกุลเงินประจำชาติของประเทศนั้นๆ
  • การรวมตัวอื่นๆ
AEC ยังไม่มีความชัดเจนในการรวมตัวด้านอื่นๆ เช่น การปกครอง สภา ศาล กฎหมาย องค์กรกลาง ธนาคาร เป็นต้น

จุดแข็ง-จุดอ่อนเบื้องต้นของประเทศต่างๆใน AEC

จะว่าอีกนาน ลองบวกลบคูณหารดู ก็อีกไม่ถึง 3 ปีแล้วนะคะ วันนี้ทีมงาน @VConnex – สื่ออาสา อาสาสื่อ ชวนเพื่อนๆมาคุยกันเรื่องจุดอ่อนและจุดแข็งของประเทศสมาชิก AEC กันดีกว่าว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง
ขอเริ่มจากประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในสมาชิก AEC ก่อนค่ะ ซึ่งผู้ได้รับตำแหน่งนั้นได้แก่…
1. ประเทศอินโดนีเซีย
ประเด็นที่น่าสนใจคือ การลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศนี้เน้นทรัพยากรในประเทศเป็นหลัก ส่วนจุดแข็งนั้น แน่นอน เมื่อเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศสมาชิกฯ (จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกและอันดับหนึ่งใน ASEAN) อินโดนีเซียก็กลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้บริโภค (และเป็นมุสลิม) มากที่สุด มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก และมีระบบธนาคารที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่จุดอ่อนของประเทศนี้คือการที่ประเทศเป็นหมู่เกาะ ระบบสาธารณูปโภคและการคมนาคมก็ยังต้องพัฒนาอยู่ค่ะ
2. ประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีอัตรารายได้เฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดในกลุ่มสมาชิกฯ ตอนนี้ทางสิงคโปร์กำลังเน้นการขยายระบบเศรษฐกิจมายังภาคบริการมากขึ้น และลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้า ข้อได้เปรียบของสิงคโปร์ คือตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ อยู่ในจุดยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางการเดินเรือ (เอื้อต่อการขนส่ง) ศูนย์การการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงการที่แรงงานที่มีทักษะ มีการศึกษาและภาษาดี ตบท้ายด้วยการเมืองมีเสถียรภาพ และจุดอ่อนคือ เนื่องจากมีประชากรน้อยและเป็นแรงงานที่มีทักษะ สิงคโปร์จะขาดแรงงานที่เป็นแรงงานระดับล่างและมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจหรือค่าครองชีพค่อนข้างสูง
3. ประเทศกัมพูชา
กัมพูชาเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำที่สุดในอาเซียน (USD 1.6/วัน) สำหรับไทยนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่อาจจะเป็นได้ทั้งการสนับสนุนและบั่นทอนโอกาสในการร่วมมือ ขยายการค้า หรือการลงทุนต่างๆ จุดแข็งของกัมพูชานอกจากเรื่องค่าแรงต่ำแล้ว  ประเทศนี้ยังอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น แร่ธาตุ หรือป่าไม้ ส่วนเรื่องที่ต้องพัฒนาปรับปรุงต่อไปคือ เรื่องระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังให้บริการได้ไม่ทั่วถึงและมีต้นทุนค่อนข้างสูง และการขาดแรงงานที่มีทักษะ
4. ประเทศเวียดนาม
เวียดนามเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำที่สุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มสมาชิก (รองจากกัมพูชา) สิ่งที่น่าจับตามองของเวียดนามคือการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ความต้องการภายในประเทศ รายได้ที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งเรื่องสิทธิและเสรีต่างๆ เวียดนามมีจุดแข็งที่การเมืองที่ค่อนข้างนิ่งและมีเสถียรภาพ ประชากรจำนวนมากซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ มีปริมาณน้ำมันสำรองมาก (อันดับ2 ของอาเซียน) และมีแนวชายฝั่งทะเลยาวมากกว่า 3,000 กิโลเมตร ส่วนเรื่องที่ยังคงต้องกังวลอยู่คือระบบสาธารณูปโภคที่ยังต้องการการพัฒนาและราคาค่าที่ดินและค่าเช่าสำนักงานซึ่งยังถือว่าสูงมากทีเดียว
5. ประเทศลาว
ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับลาวคือการลงทุนทางด้านสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานน้ำ และเหมืองแร่ เพราะที่ประเทศนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ โดยเฉพาะ น้ำ และ แร่ธาตุค่ะ การเมืองที่นี่ก็นิ่งและมีเสถียรภาพ บวกกับค่าแรงต่อหัวที่ยังถือว่าต่ำ (USD 2.06/วัน) ส่วนเรื่องที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนหรือการติดต่อต่างๆคือประเทศลาวไม่มีทางออกที่ติดกับทะเลเลย รวมถึงภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขนส่ง รวมถึงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังคงต้องได้รับการพัฒนาอยู่ค่ะ
6. ประเทศพม่า
พม่ากำลังทุ่มสุดตัวกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและเครือข่ายคมนาคมภายในและเชื่อมต่อภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟความเร็วสูง ถนนต่างๆ และท่าเรือ เพื่อรองรับความต้องการและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ถ้าพูดเรื่องค่าแรง พม่ายังจัดอยู่ในประเทศที่มีค่าแรงต่อหัวค่อนข้างต่ำ (USD2.5/วัน) แถมยังความได้เปรียบทางภูมิประเทศและเพื่อนบ้าน โดยมีพรมแดนเชื่อมโยงกับประเทศจีนและอินเดีย  ส่วนเรื่องทรัพยากรธรรมชาติก็ยังมีอยู่มากมาย รวมถึงแหล่งพลังงานอย่าง ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันด้วย จุดที่ต้องระวัง ก็น่าจะเป็นเรื่องนโยบายในหลายๆด้านและความไม่แน่นอนทางการเมือง บวกกับสาธารณูปโภคที่ยังต้องพัฒนาอยู่ค่ะ
7. ประเทศฟิลิปปินส์
เป็นอีกประเทศที่มีลักษณะทางภูมิประเทศเป็นเกาะ แก่ง น้อยใหญ่ จุดเด่นของประเทศนี้คือสหภาพแรงงานที่มีบทบาทมาก มีการประท้วงเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงอยู่เรื่อยๆ การลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางตอบสนองความต้องการภายในประเทศ เนื่องจากฟิลิปปินส์มีจำนวนประชากรจำนวนมาก (มากกว่า 100 ล้านคน ติดอันดับที่ 12 ของโลก) ทำให้เป็นตลาดที่น่าสนใจและมีขนาดใหญ่มาก จุดแข็งอีกเรื่องของประเทศนี้คือประชากร (หรือมองอีกแง่คือแรงงาน) แทบจะทั้งประเทศสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษากลางของประชาคมอาเซียน (AEC) ได้ดี ส่วนจุดอ่อนของฟิลิปปินส์คือที่ตั้งของประเทศที่ค่อนข้างห่างไกลจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิภาพทางสังคมที่ยังต้องการการพัฒนาอยู่
8. ประเทศบรูไน
บรูไน- ประเทศที่คนไทยหลายคน (รวมถึงแอดมินด้วย)ไม่ค่อยจะรู้สึกคุ้นชินมากนัก ทำให้ไม่ค่อยได้ทราบข้อมูลหรือติดตามข่าวอัพเดตต่างๆในเชิงลึก เพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า บรูไนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ (สองประเทศแรกเข้าใจว่าเพราะเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน) ส่วนสิงคโปร์จะเป็นหลักในการส่งสินค้าระหว่างประเทศให้กับบรูไน ที่สำคัญประเทศนี้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารค่อนข้างมากเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เป็นประเทศที่เป็นผู้ผลิต-ส่งออกน้ำมันและมีปริมาณน้ำมันสำรองรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน  บรูไนมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีมากเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง ที่กล่าวมานี้นับเป็นจุดแข็งของบรูไน ในขณะที่เรื่องที่ถือว่าน่าจะเป็นจุดอ่อนของบรูไน คือ ขนาดตลาดของประเทศนี้ถือว่าเล็กมาก เพราะมีจำนวนประชากรอยู่แค่สี่แสนคนเท่านั้น และปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ตามมาเป็นลูกโซ่ค่ะ
9. ประเทศมาเลเซีย
เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่อปีมากเป็นอันดับสาม รองจากสิงคโปร์และบรูไน สิ่งที่น่าสนใจสำหรับประเทศนี้คือ มาเลเซียตั้งเป้าให้ในอีก 8 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศนี้มีฐานการผลิตและสินค้าส่งออกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับไทย และมีนโยบายการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ข้อเด่นของมาเลเซียคือ ความได้เปรียบเรื่องพลังงาน จำนวนปริมาณน้ำมันสำรองและก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่มาก  ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร รวมไปถึงแรงงานที่มีทักษะ ส่วนจุดอ่อนก็จะคล้ายๆกับของประเทศบรูไนคือการที่จำนวนประชากรน้อยและปัญหาการขาดแคลนแรงงานโดยเฉพาะแรงงานระดับล่างค่ะ
10. ประเทศไทย
ปิดท้ายด้วยไทยแลนด์ แดนสยาม ประเทศอันเป็นที่รักของเราเอง ประเทศไทยตั้งเป้าเป็น Hub หรือเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นโลจิสติกส์ หรือการท่องเที่ยว จุดแข็งของประเทศเรา คือมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วถึง ที่ตั้งและภูมิประเทศเอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางคมนาคมในภูมิภาค ระบบธนาคารค่อนข้างแข็งแข็ง ขนาดของตลาดใหญ่ มีแรงงานจำนวนมาก รวมถึงการที่เป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลกเลยทีเดียว แต่จุดอ่อนยังคงอยู่ที่แรงงานส่วนใหญ่ยังขาดทักษะ เทคโนโลยีในการผลิตส่วนใหญ่ยังเป็นขั้นกลาง และระดับความรู้และการใช้ภาษากลาง (อังกฤษ) ที่อาจทำให้เสียเปรียบด้านการแข่งขันสำหรับแรงงานเมื่อมีการเปิดเสรีแล้ว


ขอบคุณข้อมูลจาก:
1. http://www.thai-aec.com/140
2. http://on.fb.me/QVNbUH
3. http://www.thai-aec.com/231

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น